ทำไมฉันถึงคิดว่าเรียนภาษาอังกฤษแบบเก่ามันตลก
จำได้ว่าเมื่อก่อนนั่งท่องตำราอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ครูเอากระดาษโจทย์มาให้เต็มมือ อ่านเรื่อง “John Goes to the Bank” นี่มันโลกยุคไหนเนี่ย?
มือสั่นตอนเจอของจริง: จริงจังนะ ตอนซื้อของที่เซเว่นต้องถามเค้าเครื่องปรุงน้ำปลา พอจะพูดทีไรสมองกลายเป็นผงไปหมด นึกศัพท์ไม่ออก “fish sauce” มันติดอยู่ที่ลิ้นแต่ดันพูดเป็น “water fish” ออกมา ดิฉันยืนอึ้งไปสามวิ คนขายยิ้มแบบงงๆ แล้วยื่นนมเปรี้ยวมาให้แทน!
เริ่มทิ้งตำราแล้วเอาของจริงมาเล่น
วันรุ่งขึ้นฉันวางตำราไว้บนชั้นสูงสุด แล้วเปิดโทรศัพท์หา ของใช้จริงในเน็ต:
- จิ้มเข้า Twitter ดูนักท่องเที่ยวเมาท์มอยเรื่องโรงแรมบางกอก
- เปิด TikTok คลิปฝรั่งสอนสั่งส้มตำแบบไม่ให้แม่ค้างง
- แอบอ่านคอมเมนต์ใต้เพลงยอดนิยมใน Spotify ว่าฝรั่งด่าอะไรกันบ้าง
เจอศัพท์แสลงแปลกๆ เต็มไปหมด “pad kaprao” เค้าสะกดว่า “holy basil stir-fry” มันช่างต่างลิบลับ!
ของเล่นใหม่คือไฟน์าพันธ์ในมือถือ
พอเห็นคำไหนแปลกตาฉันไม่ปล่อยผ่าน:
- กดค้างที่คำศัพท์ในทวีต -> เลือก “Look Up”
- เห็นคำแปลโผล่มาแบบไม่มีพิธีรีตอง
- แตะไอคอนดาวน์โหลดเก็บไว้เป็นของส่วนตัว
ลองทำแบบนี้ทุกวันตอนนั่งรอรถเมล์ 30 วันผ่านไป สมุดในโทรศัพท์มันกลายเป็นลิสต์คำสแตนบาย มีทั้งคำว่า “sticky rice” (ข้าวเหนียว) ไปจนถึง “tuk-tuk scam” (โดนรถตุ๊กตุ๊กหลอก)!
เปิดเกมล่าสมบัติในร้านสะดวกซื้อ
อาทิตย์ที่แล้วฉันกล้าท้าทายตัวเองแล้วค่ะ:
- เดินเข้าร้านสะดวกซื้ออย่างมั่นใจ
- หยิบเฮลตี้บ็อกซ์มา 1 กล่อง
- จ้องฉลากที่เขียนว่า “No Preservatives Added”
ตอนแรกสมองตีความว่า “ห้ามใส่ของถนอมอาหาร” เกือบจะวางกล่องลงแล้ว…แต่พอแอบเปิดเน็ตดึงเฉลย! ความหมายจริงๆ คือ “ไม่มีสารกันบูด” ฉันยิ้มกว้างแล้วเดินไปจ่ายเงินแบบภูมิใจสุดๆ
สรุปแล้วเคล็ดลับมีแค่นี้เอง: โยนตำราออกจากชีวิต เอาสิ่งที่เจอใน LINE/ร้านข้าว/ป้ายรถเมล์มาตีสนิท ทุกอย่างที่ขวางหน้าคือเกมส์ฝึกภาษา พอทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย ภาษาอังกฤษมันก็เกาะติดมาเองแบบไม่รู้ตัวแหละ