เริ่มต้นที่ว่าฉันเป็นคนชอบลองสิ่งใหม่แล้วแชร์ให้คนอื่นฟัง วันหนึ่งฉันคิดว่า “เฮ้ย ภาษาอังกฤษเนี่ยสำคัญ แต่ตัวเองก็พื้นฐานไม่มีเลย จะทำไงดี” เลยตัดสินใจลองฝึกอ่านดูเอง เริ่มจากหาหนังสือเด็กง่ายๆ เช่นเรื่องการ์ตูนเกี่ยวกับสัตว์ มาเปิดดูที่บ้าน
ขั้นตอนแรกที่ฉันทำ
ฉันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหน้าหนึ่ง อ่านซ้ำไปมา สิบรอบแรกแทบไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะคำศัพท์ไม่รู้จัก แค่คำว่า “cat” หรือ “dog” ยังต้องเปิดดิกชันนารีในมือถือดู แต่ฉันไม่ยอมแพ้ ฉันตั้งเวลารายวันให้อ่านวันละ 15 นาทีตอนเช้า พอไม่เข้าใจก็เอาแท็บเล็ตมาหาภาพช่วย เช่นเจอคำว่า “apple” ก็หาภาพแอปเปิ้ลในกูเกิ้ลแล้วบันทึกไว้ในสมุด
เจอปัญหาอะไรบ้าง
ฝึกไปสองสามวัน ปัญหาก็เริ่มโผล่ ตัวอย่างเช่นเมื่อเจอประโยคยาวๆ เช่น “The cat is sleeping on the mat.” ฉันกลับอ่านแล้วงงมาก จับใจความไม่ได้ ไม่รู้ว่า “mat” คืออะไร เลยลองใช้เทคนิคเก็บบทสนทนาง่ายๆ จากยูทูบมาดู ซึ่งไม่ต้องไปคอร์สเรียนแพงๆ แค่เปิดฟังและอ่านตามในคอมพ์ พอไม่เข้าใจก็หยุดแล้วเล่นซ้ำหลายๆ รอบ ใจร้อนมากตอนนั้นเพราะตัวเองพื้นฐานน้อย เลยตะบี้ตะบันฝึกทุกวัน แต่ข่าวดีคือเริ่มค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น
วิธีที่ช่วยให้อ่านได้คล่องขึ้น
จากนั้นฉันสร้างกฎใหม่ให้ตัวเอง เริ่มจากเลือกประโยคง่ายๆ มา 3-5 ประโยคต่อวัน แล้วอ่านออกเสียงดังๆ ไม่สนใจว่าเพื่อนบ้านจะหงุดหงิดหรอ เมื่ออ่านจนจำได้แล้ว ค่อยไปเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเริ่มจากเรื่องชีวิตประจำวันแบบ “I eat breakfast.” พอคล่องก็ย้ายไปเรื่องงาน เช่นประโยคในอีเมลง่ายๆ อีกเคล็ดลับคือถ้าไม่รู้ศัพท์ใหม่อีก ฉันไม่หยุดหาในดิก แต่ลองเดาจากประโยคทั้งหน้า เช่นถ้าเจอ “He is happy.” แล้วไม่รู้ว่า “happy” คืออะไร ก็ดูจากคำว่า “He” แล้วรูปภาพข้างเคียง เข้าใจง่ายกว่าตอนฝึกในออฟฟิศ
- ขั้นแรก: หาหนังสือหรือบทความพื้นฐาน เหมือนเด็ก
- ขั้นสอง: อ่านซ้ำแล้วออกเสียง อย่างน้อยวันละสองรอบ
- ขั้นสาม: หาภาพมาช่วยเวลาติดปัญหา
- ขั้นสี่: เพิ่มความยากไปเรื่อยๆ ไม่อัดเกินไป
สุดท้าย ผลลัพธ์เป็นยังไง
ฝึกไปสักหนึ่งเดือน ผลออกมาโอเคมาก ตอนนี้ฉันอ่านเมนูร้านอาหารหรือป้ายสาธารณะง่ายๆ ได้เลย เช่นประโยค “Open now” หรือ “Close door” จากที่ไม่มีความรู้มาก่อน แต่ก็ยังไม่เถือกเหมือนเจ้าของภาษา ถ้าอยากฝึกต่อ ฉันแนะนำให้ทำแบบนี้ ทุกคนทำได้แน่นอน