ดีเพื่อนๆ เลยนึกได้ว่าเราไม่ได้เก่งอังกฤษอะไรเลย แต่อยากเรียนใช้ทำงาน เลยไปหาซื้อหนังสือเรียนอังกฤษตั้งแต่ 0 มากางดู บอกตรงๆ ตอนแรกงงมาก เล่มไหนน่าใช้ก็ไม่รู้
แรกสุดเราหมายมั่นปั้นมือว่าจะซื้อเอง ไม่ขอให้ใครช่วยเลือก เพราะคิดว่าหนังสือเรียนมันน่าจะคล้ายๆ กันหมด พอไปยืนหน้าร้านหนังสือทีไร อาการตาลายทุกที เนื้อหาข้างในดูยากไปหมด รูปเล่มบางก็ดูโบราณ บางเล่มตัวอักษรเล็กจิ๋ว
ตัดสินใจแบบมั่วๆ รอบแรก
เราชอบหน้าตาหนังสือสีสันเยอะๆ เลยคว้าเล่มหนาๆ ที่ปกสีฉูดฉาดมา เล่ม A เปิดดูคร่าวๆ ในร้านก็รู้สึก “โอเคนี่แหละเหมาะกับเรา” ซื้อกลับบ้านราคาเกือบ 700 บาท นั่งเรียนได้แค่อาทิตย์เดียว… เซง! เรียนไม่รู้เรื่องเลย
- อธิบายแกรมม่ายาวยืด คล้ายตำราอะไรซักอย่าง
- แบบฝึกหัดวนไปวนมา จำได้ว่าทำข้อ 1-5 แล้วข้ามไป 8 ต่อไม่ได้ เพราะข้อ 6-7 ยังไม่ได้เรียน!
- แปลศัพท์แบบไทย-อังกฤษตรงๆ บางทีอ่านแล้วก็งงว่าเอ๊ะมันแปลว่าแบบนี้จริงเหรอ
เลิกอ่านไป 2 อาทิตย์ รู้สึกเสียตังค์ฟรี เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไปใหญ่
ยอมลงทุนซื้อเพิ่มเปรียบเทียบ
คราวนี้ไม่มั่นใจแล้ว เลยไปปรึกษาพี่สาวที่เคยเรียนอังกฤษเก่งๆ เค้าบอกว่าให้ลองดู เล่ม B กับ เล่ม C ด้วย ลงทุนซื้อมาทั้งสองเล่มเพิ่ม (ใจร้าวแทบแตก)
- เล่ม B : ราคาประหยัดกว่า เหลือ 400 กว่า เน้นรูปภาพประกอบน่ารัก อ่านสบายตา ใช้สีฟ้าอ่อนๆ ตลอดเล่ม ไม่ปวดตา
- เล่ม C : หนาพอสมควร ราคา 500 กว่าบาท แต่มี CD การ์ดศัพท์ให้มาเพียบ พลาสติกแบบฝึกหัดลบได้ ฝึกเขียนซ้ำได้
เอามาเรียงกัน 3 เล่มเลย เปิดทีละบทเปรียบเทียบวิธีสอน
นั่งจับเข่าคุยกับ 3 เล่ม
เราลองจัดเวลาให้เล่มละ 1 อาทิตย์ เรียนจริงจัง เพื่อจะรู้เลยว่าเล่มไหนเหมาะกับสมองแบบเรา (สมองธรรมดา แถมขี้เกียจหน่อย)
อาทิตย์แรก ทุ่มให้เล่ม B :
- พอเปิดมาก็ว้าว! บทแรกเริ่มง่ายโคตรๆ บอกเลยแค่ “Hello” “My name is”
- มีคัดลายมือคำศัพท์พื้นฐาน + วาดรูปเองได้ตามมุมหนังสือ
- แบบฝึกหัดเว้นช่องว่างเยอะให้เติมคำง่ายๆ ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรเลย เหมือนเติมคำในช่องว่างให้ถูกที่
พอผ่านอาทิตย์แรก รู้สึกเหมือนได้เกรด เพราะทำแบบฝึกหัดถูกแทบหมด ฮึบ!
อาทิตย์สอง หน้ามืดสลับไปเล่ม C :
- บทแรกเข้มข้นกว่า เริ่มจากตัวอักษร A-Z (อ้าวเราไม่ต้องท่องเหรอ?)
- ใช้ CD ฟังคำศัพท์ พูดตามบ่อยมาก
- การ์ดศัพท์มันเยอะไปหมด ยังจัดการไม่ถูก จัดเรียงยังไงก็มั่ว แถมพลาสติกแผ่นนึงๆ ราคาไม่ถูก ถ้าขาดหายก็เจ็บใจ
ได้ยินเสียงตัวเองพูดตาม CD บ่อยจนบ้านสงสัยว่าเป็นบ้า ตอนท้ายอาทิตย์รู้สึก “โอเคนะ แต่เหนื่อย”
อาทิตย์สาม… กลับไปเล่ม A (แบบหมดกำลังใจ) :
- พลิกไปก็พบแกรมมาร์เต็มหน้า ใจไม่พร้อมจะอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
- คำสั่งให้เขียนเรียงความสั้นๆ ว่า “My Family” ???? นี่มันบทที่ 2 นะเว้ยยย!
- แบบฝึกหัดเหมือนโจทย์ประถมต้นที่ไม่มีการ์ดหรือรูปช่วย
รอดอาทิตย์สามแบบหมดหวัง รู้เลยว่าเราแพ้เล่มนี้
สรุปให้ชัดๆ หลังจากลองเอง
- เล่ม A : เหมือนเรียนในห้องตอนเด็กๆ แต่เพิ่มระดับด่านมารไว้ขั้นเทพ คนเก่งพ้น 0 มาแล้วถึงจะพอไหว
- เล่ม B : เหมือนมีครูใจดีมาคอยลูบหลัง เริ่มจากความว่างเปล่าจริงๆ เรียนง่ายจนรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น (หรือหลอกตัวเอง 555)
- เล่ม C : ชอบฟังเสียงพูดตาม? ชอบการ์ดสีๆ? เล่มนี้จี้ความรับผิดชอบแบบสุด เหมือนโดนครูลากตัวไปเรียนพิเศษทุกวัน แต่ถ้าอดทนได้ผลเกินคุ้ม
ส่วนตัวเรา เลือกเล่ม B เป็นตัวหลัก เพราะมันตอบโจทย์คนเรียนแบบ “0 เต็ม 10” อยากเรียนแบบไม่เครียดเกินไป ส่วนเล่ม C เอาไว้เปิดฟังเสียงตอนขับรถหรือเปิดการ์ดท่องศัพท์ยามว่าง ส่วนเล่ม A… เอาไว้หนุนคอมอยู่ที่โต๊ะ รู้สึกว่ามันหนาพอดูดี 555+
สรุปสั้นๆ สำหรับคนเริ่ม 0 แบบเรา: เล่ม B เป็นเพื่อนคู่คิดได้ดีสุด ราคาไม่แพง เรียนสบายสมองไม่แตก ส่วนเล่มอื่นอาจเหมาะกับคนชอบความท้าทายหรือมีเวลาไปยัดเยียดกับมันมากกว่า ถ้าย้อนเวลาได้จะไม่ซื้อเล่ม A มาแรกๆ แน่นอน เกลียดภาษาอังกฤษไปนานเลยเพราะความเชื่อมั่นช่วงแรกพังไม่เป็นท่า!