สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์ตรงๆ ของผมเลยนะ กับการลองเป็นครูสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ผ่านแอปที่ชื่อว่า PalFish ตอนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยนี่แหละครับ คืออยากจะแชร์ให้ฟังว่ามันเป็นยังไงบ้าง เผื่อใครกำลังสนใจอยู่ จะได้เห็นภาพรวมๆ
จุดเริ่มต้นของการลอง PalFish ในไทย
คือช่วงนั้นผมดันว่างงานพอดีไงครับ งานเก่ามันมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องหาอะไรทำแก้ขัดไปก่อน เห็นเพื่อนๆ ในโซเชียลแชร์กันเรื่อง PalFish กันเยอะอยู่เหมือนกัน บอกว่าเป็นครูออนไลน์ สอนเด็กจีน ก็เลยเออ ลองดูซะหน่อยวะ อยู่ไทยค่าครองชีพมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรมากมาย แต่ถ้ามีตังค์เข้ากระเป๋าเพิ่มมันก็อุ่นใจกว่าเยอะใช่ไหมล่ะครับ คิดแค่นั้นเลยจริงๆ
ขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัว
เอาล่ะ พอตัดสินใจว่าจะลอง ผมก็เริ่มจากโหลดแอป PalFish มาดูก่อนเลย หน้าตามันก็ดูใช้งานไม่ยากนะ ขั้นตอนการสมัครก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย กรอกข้อมูลส่วนตัว อัปโหลดเอกสารนิดหน่อย ที่สำคัญคือต้องอัดวิดีโอแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ โชว์สกิลการพูดของเราหน่อย ให้เค้าเห็นว่าเราพอจะสอนได้จริง
แต่ที่แอบติดขัดนิดหน่อยสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องเอกสารรับรองการสอนนี่แหละครับ พวกใบ TEFL, TESOL อะไรพวกนั้น ถ้ามีก็ดีไปเลย แต่ถ้าไม่มีก็อาจจะต้องไปหามา หรือบางทีเค้าก็มีช่องทางอื่นให้ แต่รวมๆ แล้วก็ไม่ได้ยุ่งยากเกินไปจนท้อหรอกครับ
พอสมัครผ่านฉลุยแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวจริงจังละ ผมนี่ลงทุนไปหาซื้อไฟดวงเล็กๆ มาติดเพิ่มเลยนะ เพราะห้องเช่าที่ไทยของผมแสงมันไม่ค่อยจะพอ แล้วก็หาฉากหลังเป็นผ้าสีเรียบๆ มาขึงไว้หน่อย ให้มันดูเป็นครูสอนออนไลน์กับเค้าบ้าง ไม่ใช่สอนจากห้องนอนโทรมๆ ฮ่าๆๆ พวกอุปกรณ์หูฟัง ไมโครโฟน ก็ต้องเช็คให้ดีเลยว่าเสียงชัดเจน ไม่มีเสียงรบกวน
ประสบการณ์การสอนจริง
พอทุกอย่างพร้อม ก็ได้เวลาเปิดรับนักเรียนจริงๆ ละครับ ตื่นเต้นเหมือนกันนะช่วงแรกๆ นักเรียนส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นเด็กๆ ชาวจีน อายุค่อนข้างน้อยเลย บางคนก็น่ารักมาก ตั้งใจเรียนสุดๆ พูดตามเราทุกคำ แต่บางคนก็แอบซนหน่อย หรือบางทีก็เจอแบบที่ดูเหมือนโดนพ่อแม่บังคับให้มาเรียน อันนี้ก็ต้องใช้พลังเยอะหน่อยในการดึงความสนใจเค้า
บทเรียนส่วนใหญ่ PalFish เค้าก็มีมาให้ในระบบอยู่แล้วครับ เป็นสไลด์ เป็นรูปภาพประกอบ ก็สอนตามนั้นไป แต่บางทีผมก็รู้สึกว่ามันซ้ำๆ เดิมๆ ไปหน่อย เด็กอาจจะเบื่อได้ ผมก็เลยต้องพยายามหาเกมง่ายๆ หรือชวนคุยเรื่องอื่นแทรกเข้าไปบ้าง ให้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้น
- เรื่องเวลา: อันนี้เป็นประเด็นเหมือนกันนะ เพราะลูกค้าหลักเราเป็นเด็กจีน เวลาทำการของเค้ากับเวลาไทยมันก็มีเหลื่อมๆ กันอยู่บ้าง ทำให้บางทีต้องตื่นมาสอนแต่เช้ามืด หรือไม่ก็ต้องสอนรอบดึกๆ ไปเลย ใครจะทำก็ต้องบริหารจัดการเวลาตัวเองดีๆ หน่อย
- อินเทอร์เน็ต: โอ้โห อันนี้ปัญหาใหญ่เลยสำหรับผมตอนอยู่ไทย! คือเน็ตที่ห้องเช่ามันไม่ได้เทพขนาดนั้น บางวันดีก็ดีไป แต่บางวันก็หลุดกระจาย สอนๆ อยู่เน็ตเดี้ยง นักเรียนรอเก้อ แบบนี้ก็โดนหักคะแนน โดนรีพอร์ตได้เหมือนกันนะ เซ็งสุดๆ บางทีต้องวิ่งวุ่นหาที่สัญญาณดีๆ หรือเปลี่ยนไปใช้เน็ตมือถือแทนก็มี
เรื่องเงินๆ ทองๆ
มาถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้ ถามว่ารายได้มันดีไหม? ผมตอบแบบไม่อวยเลยนะว่ามันก็ “พอได้” ครับ ถ้าเราขยัน มีชั่วโมงสอนเยอะ นักเรียนจองคิวเต็มตลอด มันก็ทำเงินได้พอสมควรเลยแหละ พอเป็นค่าขนม ค่าข้าว ค่าเช่าห้องในไทยได้สบายๆ แต่ถ้าจะหวังให้รวยเป็นเศรษฐีจาก PalFish อย่างเดียวเลย อันนี้คงต้องบอกว่ายากหน่อยครับ มันเป็นเหมือนรายได้เสริมมากกว่า
การรับเงินก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากครับ เค้าจะมีระบบของเค้า จ่ายเป็นดอลลาร์ แล้วเราก็ถอนเข้าบัญชีธนาคารของเราที่ไทยได้ แต่ก็จะมีหักค่าธรรมเนียมอะไรนิดหน่อยตามระเบียบ กว่าเงินจะเข้าบัญชีจริงๆ ก็ต้องรอนิดนึง
สรุปแล้ว PalFish ในไทยมันเวิร์คไหม?
ถ้าให้ผมสรุปจากประสบการณ์ตรงๆ เลยนะ PalFish มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียครับ
ข้อดี คือมันเป็นช่องทางให้เราได้ใช้ภาษาอังกฤษ ได้ฝึกทักษะการสอน ได้เจอเด็กๆ จากต่างวัฒนธรรม (ส่วนใหญ่ก็จีนนั่นแหละ) แล้วก็ค่อนข้างยืดหยุ่นเรื่องเวลาทำงาน เราจัดตารางเองได้ ทำจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต (ถ้ามันไม่ล่มซะก่อนนะ ฮ่าๆ)
แต่ข้อเสีย ก็อย่างที่บอกไป เรื่องความเสถียรของอินเทอร์เน็ตในไทยบางพื้นที่นี่ตัวปัญหาเลย แล้วก็เรื่องเวลาที่อาจจะต้องปรับตัวเยอะหน่อย ไหนจะเรื่องการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เพราะครูจากทั่วโลกก็มาสอนในแพลตฟอร์มนี้เหมือนกัน
ถ้าถามผมว่า ถ้าให้กลับไปทำอีกจะทำไหม? อืมมม… ถ้าตอนนั้นไม่มีอะไรทำจริงๆ หรืออยากหารายได้เสริมแบบด่วนๆ ก็อาจจะกลับไปทำนะ แต่ถ้ามีทางเลือกอื่นที่มันมั่นคงกว่า หรือตรงกับความสนใจมากกว่า ผมก็คงเลือกทางอื่นก่อน
สำหรับใครที่อยู่ไทยแล้วอยากจะลองเป็นครู PalFish ดูก็ลองได้ครับ ไม่ได้เสียหายอะไรเลย เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมหน่อย โดยเฉพาะเรื่องอินเทอร์เน็ตกับเรื่องการบริหารเวลา ถ้าจัดการตรงนี้ได้ดี มันก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ แต่อย่าคาดหวังอะไรสูงเกินไปนัก ทำแบบสบายๆ สนุกๆ ไปดีกว่าครับ