พอดีผมอยากปั๊บภาษาอังกฤษเลยเริ่มหาคอร์สเรียน แต่พอเห็นราคาก็อึ้ง ขายกันตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น เลยต้องหาวิธีเปรียบเทียบให้ถูกใจกระเป๋า
ขั้นแรก: สำรวจงบในกระเป๋าตังค์
ล้วงกระเป๋าดูก่อนเลยว่ามีเงินเก็บแค่ไหน จัดสรรมาเป็นก้อนไว้เรียนโดยเฉพาะ ตอนนี้มีอยู่ราวๆ 6000 บาท เลยตั้งกฎเหล็กว่า “ห้ามเกินงบนี้ ไม่ว่าจะโปรโมชั่นดึงดูดขนาดไหน”
วิธีประหยัดงบที่ลองแล้วเวิร์ค
- เลาะหาฟรีทดลองเรียนก่อนจ่าย : ยื่นเรื่องขอทดลองเรียนฟรี 4 ที่ สุดท้ายได้ทดลอง 2 ที่ อย่างหนึ่งที่รู้เลยคือบางคอร์สค่าเรียนสูงแต่เทคนิคการสอนน่าเบื่อยิ่งกว่าต้องฟังอาจารย์มหาวิทยาลัยตอนบ่ายแก่ๆ
- ตามหาคูปองส่วนลดในดิสคอร์ด : เอาเพจคอร์สเรียนกดไลค์ไว้ทุกเพจ รอจนมีแอดมินส่งโค้ดส่วนลดมาทางอินบ็อกซ์ ต้องเซฟหน้าเพจไว้เช็คทุกวัน นึกว่าเป็นยูทูบเบอร์!
- กระหน่ำถามทั้งเด็กเก่าและเด็กใหม่ : ยอมสตั๊นด์เข้าไปถามในกรุ๊ปเฟซบุ๊กว่า “คอร์สนี้คุ้มมั้ยครับ?” ให้ยอมโดนด่าแดกแทนที่ต้องเสียเงินเปล่า ถามราว 10 คน ปรากฏว่าเจอรีวิวซ่อนแซะที่อาจารย์ตอบแชทช้าสุดสัปดาห์ละครั้ง
- เรียนแบบผสมผสานแทนทีเดียว : แบงก์คอร์สแพงๆ ออกเป็นสองส่วน อัดแกรมมาร์ด้วยคอร์สออนไลน์ราคาถูกก่อนแล้วค่อยไปลงคอร์สสดฝึกพูด แบบนี้ประหยัดไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบซื้อแพ็กเกจโรงใหญ่
- รอสตาร์ทรอบใหม่ : พอเจอคอร์สดังที่ราคาเกินงบ เลื่อนสมัครรอเปิดรอบใหม่ ยอมเสี่ยงนั่งฟังอาจารย์คนเดิมสอนแบบลวกๆ แต่ราคาถูกลง 15% เพราะเป็นคอร์สยอดขายต่ำ
สาเหตุที่โดนหลอกให้จ่ายแพงตั้งแต่แรก
ช่วงแรกเกือบไปติดกับดักคอร์สออนไลน์ที่อวดว่า “พูดได้ใน 2 เดือน” ราคา 8900 บาท พอขอสคริปต์ตัวอย่างกลับได้มาแค่คลิปสั้นๆ นาทีครึ่งที่เอามาจากยูทูปฟรี นี่ถ้าไม่ได้ใช้วิธีตรวจสอบรีวิวในกรุ๊ปศิษย์เก่าก็คงจ่ายไปแล้ว
ผลลัพธ์หลังประหยัดแบบจัดหนัก
เจอคอร์สแกรมมาร์ออนไลน์เดือนละ 400 บาท คอร์สสนทนาสดสัปดาห์ละครั้งที่ 2500 บาท รวมแล้วจ่ายแค่ 3700 บาท ยังคงเหลือเงินอีกตั้ง 2300 บาทไว้ติวเพิ่มหลังเรียนจบ เลิกคิดแล้วว่าต้องเสียเงินหลายหมื่นเพื่อได้ใบเซอร์ติฟิเคท เพราะสุดท้ายคนสัมภาษณ์งานเขาดูที่ทักษะไม่ดูปริ้นกระดาษสวยๆ
เทคนิคทองคำคืออย่าเพิ่งเชื่อโฆษณาแฟลชๆ ให้รีบกดหยุดก่อนคิดสมัครแล้วกลับไปนอนพิจารณาอีกรอบ ผมว่าบางทีการรีบร้อนลงทะเบียนนี่แหละตัวกินเงินตัวดี!